สหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าสนับสนุนอิสราเอลในการทำสงครามกับกลุ่มฮามาส โดยเมื่อวานนี้ (9 ธ.ค.) กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือเพนตากอน เปิดเผยว่า ฝ่ายบริหารของไบเดนได้ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่ออนุญาตการขายกระสุนรถถังประมาณ 14,000 นัดให้กับอิสราเอล โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภา
โดยเมื่อวันศุกร์ (8 ธ.ค.) ที่ผ่านมา กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้ใช้ประกาศฉุกเฉินตามพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกอาวุธสำหรับกระสุนรถถังมูลค่า 106.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 3.8 พันล้านบาท) เพื่อจัดส่งไปยังอิสราเอลทันที
กลุ่มฮูตีข่มขู่ จะโจมตีเรือทุกลำที่มุ่งหน้าไปยังอิสราเอล คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ที่ปรึกษาความมั่นคงอิสราเอลชี้ สงครามจบก็ต่อเมื่อผู้นำฮามาสถูกสังหาร
อิสราเอล ขู่ถล่มเลบานอน หาก "ฮิซบอลเลาะห์" ทำสงคราม
คาดว่ากระสุนรถถังเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความช่วยเหลือครั้งใหญ่ ซึ่งฝ่ายบริหารของไบเดนกำลังขอให้รัฐสภาสหรัฐฯ อนุมัติ ความช่วยเหลือขนาดใหญ่นี้มีมูลค่ามากกว่า 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.78 หมื่นล้านบาท) และประกอบด้วยกระสุน 45,000 นัดสำหรับรถถังเมอร์คาวา (Merkava) ของอิสราเอล ซึ่งถูกนำไปใช้ในการรุกฉนวนกาซา
ในขณะที่สงครามทวีความรุนแรงขึ้น วิธีการและสถานที่ที่มีการใช้อาวุธของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งนั้นได้รับการตรวจสอบอย่างละเอียดมากขึ้น แม้ว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐฯ จะบอกว่าไม่มีแผนที่จะกำหนดเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่อิสราเอลหรือพิจารณาระงับความช่วยเหลือบางส่วนก็ตาม
ผู้สนับสนุนด้านสิทธิมนุษยชนแสดงความกังวลเกี่ยวกับการขายอาวุธสหรัฐฯ ให้กับอิสราเอล โดยกล่าวว่า ไม่สอดคล้องกับพยายามของสหรัฐฯ ในการกดดันอิสราเอลให้ลดการบาดเจ็บล้มตายของพลเรือนให้เหลือน้อยที่สุด
เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า สหรัฐฯ ยังคงแสดงความชัดเจนกับรัฐบาลอิสราเอลว่า จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และดำเนินการทุกขั้นตอนที่เป็นไปได้เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายต่อพลเรือน
ด้าน แอนโทนี บลิงเกน รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุและให้เหตุผลโดยละเอียดแก่สภาคองเกรสว่า กระสุนรถถังจะต้องถูกส่งไปยังอิสราเอลทันที เพื่อผลประโยชน์ด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ
กระสุนที่ขายจะมาจากกระสุนคงคลังของกองทัพสหรัฐฯ ประกอบด้วยกระสุนต่อต้านรถถัง M830A1 High Explosive Anti-Tank Multi-Purpose with Tracer (MPAT) ขนาด 120 มม. และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
เรียบเรียงจาก Reuters
ภาพจาก Jalaa MAREY / AFP